วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ตลาดคอนโดฯภูเก็ตเริ่มฟื้น

ตลาดคอนโดฯภูเก็ตเริ่มฟื้น


คอนโดติดรถไฟฟ้า
บล็อกรีวิว คอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณ thansettakij.com


นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ จังหวัดภูเก็ต พบว่า ภาพรวมตลาดขยายตัวในอัตราที่ลดลง แต่ในส่วนของ ตลาดคอนโดมิเนียมกลับพบว่า คอนโดมิเนียมราคามากกว่า 1 แสนบาทต่อ ตร.ม. ในทำเลติดชายหาดที่มีชื่อเสียงยังเติบโตได้ดีแม้ไม่ใช่คอนโดติดรถไฟฟ้าก็ตาม แลไม่ใช่คอนโดราคาถูกด้วย เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจึงได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย โดย ผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย มีอัตราการดูดซับเฉลี่ย 6.47 หน่วยต่อเดือน ขณะที่อัตราดูดซับเฉลี่ยรวมทั้งตลาดอยู่ที่ 5.09 หน่วย สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่หดตัวตามกระแสเศรษฐกิจ 

ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมเสนอขายในตลาด 16,241 หน่วย แบ่งเป็นห้องชุดสร้างเสร็จ 10,452 หน่วย จาก 53 โครงการ (สัดส่วน 64% ของสินค้าทั้งตลาด) ขณะที่ความต้องการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่เติบโตสูงขึ้นจากรอบก่อน 38% มาอยู่ที่ 7,166 หน่วย และมีอัตราการตอบรับเฉลี่ย 69% ส่วนราคาขายปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 85,314 บาทต่อ ตร.ม. มีการขยายตัวสูงขึ้น จากปีก่อน 4% 

"อสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต เป็นทำเลที่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศชื่นชอบ ด้วยปัจจัยสนับสนุนจาก การส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ อีกทั้งภูเก็ตมีข้อจำกัดเรื่องที่ดินเพื่อการพัฒนาสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่อย่างจำกัด หา กอสังหาฯ เติบโตอย่างรวดเร็วอาจเกิดภาวะขาดแคลนที่ดิน ซึ่งจะผลักดันให้มูลค่าอสังหาฯ สูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ นักลงทุนชาวจีน ญี่ปุ่น และเอเชีย ตัดสินใจ ลงทุนในคอนโดฯ พร้อมอยู่ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยความคุ้มค่าด้านราคาแม้จะไม่ใช่คอนโดราคาถูก และ ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการปล่อยเช่าคอนโดในอนาคต โดยเฉพาะช่วงไฮซีซัน ปัจจุบันเริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางเข้ามา เพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดจองที่พักในโรงแรมต่างๆเริ่มสูงขึ้น และการขายคอนโดมิเนียมในหาดที่มีชื่อเสียง เช่น หาดป่าตอง หาด ลายัน หาดสุรินทร์ และ หาดไม้ขาว ได้รับการตอบรับที่ดี" นายภูมิภักดิ์ กล่าว 

ขณะที่ นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนา คอนโดมิเนียม บริษัท แสน สิริ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมหัวเมืองท่องเที่ยวเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชะลอตัวไปเมื่อ ปลายปี 2557 จากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง และมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงคิดโปรแกรมให้สอด รับกับตลาด ภายใต้ชื่อ Earn from the holidays ชีวิตพักผ่อนที่มากขึ้น กับผลตอบแทนที่มั่นคง ด้วยการการันตีผลตอบแทนค่า เช่า 6-7% ระยะ 2-4 ปี ซึ่งเป็นโปรแกรมต่อยอดมาจาก Rental Guarantee Programme โดยเพิ่มส่วนของระยะเวลาในการเข้า พักห้องชุดให้กับผู้ที่ซื้อโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศพร้อมอยู่สูงสุดถึง 60 วันต่อปี 

โดยโปรแกรมดังกล่าวผู้ซื้อสามารถซื้อคอนโดมิเนียมที่เข้าร่วมเพียง 1 โครงการจาก 8 โครงการที่เข้าร่วม ซึ่งมีห้องชุด เหลือขายพร้อมโอน 4 ทำเลได้แก่ จังหวัดภูเก็ต 4 โครงการ หัวหิน 2 โครงการ เขาใหญ่ 1 โครงการ พัทยา 1 โครงการและอีก 7 โครงการที่ปิดการขายแล้วโดยผู้ซื้อสามารถแลกคะแนนเข้าพักห้องชุดในเครือข่ายแสนสิริได้ถึง 15 โครงการใน 5 เมือง ท่องเที่ยว ซึ่งบริษัทคาดว่าจะช่วยระบายสต๊อกพร้อมอยู่ได้ 250 หน่วย มูลค่า 1.5 พันล้านบาท จากหน่วยเหลือขายทั้งหมด 600 หน่วย รวมมูลค่า 3 พันล้านบาท 

ด้าน นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ช่วงที่ผ่านมาอสังหาฯในจังหวัด ภูเก็ตมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่พัฒนาโดยกลุ่มผู้ประกอบการจากส่วนกลาง ซึ่งผู้ซื้อ ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมชูจุดขายซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นสำคัญ ทำให้กระทบกับธุรกิจ เกี่ยวเนื่องอย่าง โรงแรม อพาร์ตเมนต์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และบ้านเช่า 

"ส่วนตัวมองว่า บริษัทอสังหาฯ ที่มีจุดขายเรื่องการันตีผลตอบแทนจากการเช่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะมีกลุ่มธุรกิจ ในลักษณะนี้อยู่แล้วในตลาด ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจเช่าประเภทอื่นได้ และการซื้อคอนโดฯต้องเป็นการขายขาด ไม่ใช่ให้ลูกค้าซื้อแล้วนำมาปล่อยเช่า บริษัททัวร์บางบริษัทถึงกับซื้อยกชั้น เพื่อนำมาปล่อยเช่าให้กับนักท่องเที่ยว" นายธนู ศักดิ์ กล่าว 


ขอขอบคุณที่มากจาก ฐานเศรษฐกิจ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ยอดในการโอนที่อยู่อาศัย 9 เดือนแรกได้เพิ่มขึ้น 6%

ยอดในการโอนที่อยู่อาศัย 9 เดือนแรกได้เพิ่มขึ้น 6%โดยมาจากคอนโดใกล้รถไฟฟ้าเยอะมาก



คอนโดใกล้รถไฟฟ้า
บล็อกรีวิวคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ขอขอบคุณภาพจาก thansettakij.com


          โดยสัมมา คีตสิน หรือผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้เปิดเผยว่าจากการสำรวจข้อมูลโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลใน 5 จังหวัด (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม) โดยประจำไตรมาส 3 ไตรมาส ปี 2558 ได้พบว่ามีจำนวนรวมกันประมาณ 132,000 ยูนิต และเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับ 3 ไตรมาสแรกคือปี 2557 ซึ่งมีจำนวนประมาณ 124,100 ยูนิตนั้นเอง

          โดยจากปริมาณกของารโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะที่อยู่อาศัย จำนวนทั้งหมด 132,000 ยูนิต ได้แบ่งเป็นยอดโอนในเดือนมกราคมประมาณ 11,300 ยูนิต และเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 13,000 ยูนิต และเดือนมีนาคมประมาณ 15,700 ยูนิต และเดือนเมษายนประมาณ 12,900 ยูนิต และเดือนพฤษภาคมประมาณ 14,000 ยูนิต และเดือนมิถุนายนประมาณ 15,500 ยูนิต และเดือนกรกฎาคมประมาณ 12,300 ยูนิต และเดือนสิงหาคมประมาณ 14,500 ยูนิต และสุดท้ายเดือนกันยายนประมาณ 14,900 ยูนิต นั้นเอง
          ยอดในการโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล นั้น ใน 3 ไตรมาสแรกปี 2558 ก็แบ่งเป็นห้องชุดคอนโดมิเนียมที่มากที่สุด จำนวน 48,100 ยูนิตหรือประมาณ 36%  ของยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ที่มีอยู่อาศัยทุกประเภทรวมกัน และรองลงมาเป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์ 46,200 ยูนิต หรือประมาณ 35% บ้านเดี่ยว 22,400 ยูนิต หรือประมาณ 17% อาคารพาณิชย์ 10,200 ยูนิต หรือประมาณ 8% ที่เหลือเป็นบ้านแฝดประมาณ 5,000 ยูนิตนั้นเอง

          ในทั้งนี้หากเราพิจารณาในแง่ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2558 มีมูลค่ารวมกันประมาณ 321,400 ล้านบาท ก็แบ่งเป็น ห้องชุดมีมูลค่าการโอนประมาณ 108,700 ล้านบาท หรือประมาณ 34% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในทุกประเภทรวมกัน โดยบ้านเดี่ยวมีมูลค่าการโอนประมาณ 97,800 ล้านบาท หรือประมาณ 30% บ้านทาวน์เฮ้าส์มีมูลค่าการโอนอยู่ที่ประมาณ 68,900 ล้านบาท หรือประมาณ 21% โดยอาคารพาณิชย์มีมูลค่าการโอนประมาณ 34,200 ล้านบาท หรือก็ประมาณ 11% และบ้านแฝดมีมูลค่าการโอน 11,800 ล้านบาท หรือประมาณ 4% ของทั้งหมด โดยคอนโดใกล้รถไฟฟ้าก็มาแรงามเคย

          ในการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยนั้นประเภทห้องชุด มีมากที่สุดในกรุงเทพฯ โดยประมาณ 36,400 ยูนิตและในจังหวัดนนทบุรีประมาณ 5,400 ยูนิต ส่วนจังหวัดสมุทรปราการประมาณ 3,400 ยูนิต และจังหวัดปทุมธานีประมาณ 2,200 ยูนิต ในส่วนจังหวัดสมุทรสาครประมาณ 400 ยูนิต และในจังหวัดนครปฐมประมาณ 360 ยูนิต โดยพื้นที่เฉลี่ยต่อหน่วยของห้องชุดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์นั้นในกรุงเทพฯอยู่ที่ประมาณ 27.4 ตารางเมตร และในส่วนในจังหวัดปริมณฑลอยู่ที่ประมาณ 28.3 ตารางเมตรของทั้งหมด

          ในพื้นที่ซึ่งมีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดใหม่ หรือโอนจากนิติบุคคล มีมากที่สุด 3 ไตรมาสแรก ปี 2558 ได้แก่ ในเขตห้วยขวาง อำเภอเมืองนนทบุรี ในเขตสวนหลวง ในเขตพระโขนง และในเขตจตุจักร โดยส่วนพื้นที่ซึ่งมีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ห้องชุดคอนโดมิเนียมมือสอง หรือโอนจากบุคคลธรรมดา ที่มากที่สุด ได้แก่ ในเขตห้วยขวาง ในอำเภอคลองหลวง เขตบางซื่อ ในเขตพระโขนง และในเขตดอนเมือง ตามลำดับนั้นเอง

          ในพื้นที่ซึ่งมีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวหรือขายใหม่มากที่สุด 3 ไตรมาสแรก ปี 2558 ได้แก่ ในอำเภอบางบัวทอง ในอำเภอบางพลี ในอำเภอลำลูกกา ในเขตสายไหม และในอำเภอปากเกร็ด และส่วนพื้นที่ซึ่งมีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวมือสองที่มากที่สุด ได้แก่ ในเขตบางกะปิ ในอำเภอลำลูกกา ในอำเภอคลองหลวง ในเขตบางเขน และในเขตมีนบุรี ตามลำดับ

         และในพื้นที่ซึ่งมีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์ขายใหม่ที่มากที่สุด 3 ไตรมาสแรก ปี 2558 ได้แก่ ในอำเภอบางพลี ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ ในอำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอลำลูกกา และในอำเภอเมืองปทุมธานี ส่วนในพื้นที่ซึ่งมีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ทาวน์เฮ้าส์มือสองที่มากที่สุด ได้แก่ ในอำเภอคลองหลวง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ ในอำเภอบางบัวทอง ในเขตบางเขน และในอำเภอลำลูกกา ตามลำดับนั้นเอง

    ทั้งหมดก็เป็นยอกการโอนต่างๆ ที่มีต่างๆกันไป โดนในคอนโดนั้น คอนโดติดรถไฟฟ้าก็ถือได้ว่ามียอดโอสูงสุดเลยก็ว่าได้ เพราะว่าคอนโดติดรถไฟฟ้ากำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเลยสามารถทำให้รายได้สูงมากขึ้นและมีการโอมากขึ้น นอกจากนี้คอนโดราคาถูกก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่มียอดการโอนที่สูงเลยก็ว่าได้




คอนโดฯ ตากอากาศ แสนสิริ ที่ไม่ใช่คอนโดราคาถูก กำลังจะตีตลาด

คอนโดราคาถูก
บล็อกรีวิวคอนโดราคาถูก ขอขอบคุณภาพจาก thinkofliving.com

          โดยอุทัย อุทัยแสงสุข หรือรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ในสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทนั้นมีคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่พร้อมโอนฯ ในทำเลที่เมืองท่องเที่ยวจำนวน 8 โครงการ ซึ่งได้มีมูลค่าเหลือขายประมาณ 3 พันล้านบาท หรือก็ประมาณ 800 กว่ายูนิต ในราคาเริ่มต้น 2-70 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่,และ ออทัมน์ หัวหิน,และ เรน ชะอำ-หัวหิน,และ บ้านปลายหาด วงศ์อมาตย์,และ เดอะ เบส ไฮท์ ภูเก็ต,แะ เดอะ เบส อัพทาวน์ ภูเก็ต,และ บ้านไม้ขาว และเดอะ เดค ป่าตอง

          โดย ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโปรแกรม 'Earn FROM THE HOLIDAYS' ให้ชีวิตพักผ่อนที่มากขึ้น โดยกับผลตอบแทนที่มั่นคง โดยการซื้อคอนโดมิเนียม 1 ใน 8 โครงการดังกล่าว เราจะสามารถเข้าพักอาศัยได้ใน 15 โครงการ ก็คือ

          คอนโดมิเนียม 5 เมืองท่องเที่ยว ที่ได้แก่ เชียงใหม่,และ ภูเก็ต,และ หัวหิน, และเขาใหญ่และพัทยา ซึ่งก็จะได้ระยะเวลาในการเข้าพักนานสูงสุด 60 วัน อีกทั้งก็ยังได้รับประกันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า 6-7% ต่อปี ในระยะเวลา 2-5 ปี โดยจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายปีอีกด้วย

          "ยอมรับเลยว่าที่ผ่านมายอดขายไปได้ช้า และทำให้ต้องหาแคมเปญมากระตุ้น ที่ผ่านมาของบริษัทเคยทำการันตีค่าเช่าให้ลูกค้าเพียงอย่างเดียว โดยมาครั้งนี้เพื่อข้อเสนอให้ลูกค้าที่ซื้อห้องไปนอกจากจะได้รับผลที่ตอบแทนแล้วยังจะได้ไปพักที่อื่นๆ ได้ด้วย"

         ทั้งนี้ก็ระยะเวลาแคมเปญดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้-30 เมษายน 2559 และในบริษัทตั้งเป้ามียอดขาย 250 ยูนิต หรือได้คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านบาท

ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก นิตยสาร The Condominium

รวมรีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้า ลุมพินีวิลล์ และ พฤกษา ในราคาถูก

รีวิวคอนโด ลุมพินีวิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่งสเตชั่น ไดเปิดขาย 21 พ.ย.นี้ ราคาเริ่ม 999,000 บาท

รีวิวคอนโด
บล็อก รีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณภาพจาก homenayoo.com

          คุณโอภาส ศรีพยัคฆ์ หรือกรรมการผู้จัดการ ของบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด มหาชนหรือ LPN ได้เปิดเผยว่า ในวันเสาร์ที่ 21 พ.ย.นี้ ได้พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ ที่ลุมพินีวิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่งสเตชั่น ซึ่งมูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้น 999,000 บาท บนทำเลติดถนนสุขุมวิท 76 ที่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีแบริ่ง เพียง 1.5 กิโลเมตรเท่านั้น หรือก็คือคอนโดติดรถไฟฟ้านั้นเองหรือก็คือคอนโดติดรถไฟฟ้าและนอกจากนั้น ยังใกล้ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ในทางพิเศษกาญจนาภิเษก(บางพลี-สุขสวัสดิ์)อีกด้วย 

          โดยหลังจากที่บริษัทได้เริ่มที่จะเปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่างก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทีเดียว โดยมียอดลงทะเบียนจองล่วงหน้าแล้ว 2,000 ราย รวมถึงยังมีอีกฐานลูกค้าของบริษัทในบริเวณใกล้เคียงอีกมาก ที่แม้ขณะนี้ภาวะตลาดที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนักแสดงก็ให้เห็นถึงความที่ต้องการที่อยู่อาศัย และความเชื่อมั่นในแบรนด์ของ “ลุมพินี” และภาพรวมต่างๆ ของเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งนี้บริษัทก็ได้เตรียมมอบส่วนลดพิเศษอีก 10,000 บาทแก่ลูกค้าเก่าที่ได้ลงทะเบียนจองล่วงหน้า และสำหรับลูกค้าใหม่รับส่วนลดทันที 5,000 บาทนั้นเอง

          สำหรับโครงการนี้บริษัทได้พัฒนาคุณค่าด้านผลิตภัณฑ์โดยเพิ่มพื้นที่สันทนาการแบ่งตามวัยเพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของคนทุกเพศทุกวัยให้สมบูรณ์มากขึ้น ได้แก่ 
          1. ห้องกิจกรรมเด็ก สำหรับรองรับเด็กและเยาวชนในโครงการ โดยแบ่งที่ได้เป็นมุมเรียนรู้ เกมส์สันทนาการที่เหมาะสมผ่านสื่อต่างๆ ที่บริษัทได้จัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งได้นำรูปแบบการบริหารจัดการมาจากของ TK Park
          2. เป็นห้องสมุดมีชีวิต สำหรับรองรับคนวัยหนุ่มสาว ให้มีพื้นที่ในการค้นหาความรู้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในโลกยุคปัจจุบันด้วย
          3. และห้องกิจกรรมผู้สูงอายุ สำหรับรองรับผู้สูงอายุให้สามารถพบปะ และพูดคุย สังสรรค์และทำกิจกรรมร่วมกันได้
          4. การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้รองรับกับการใช้ชีวิตในส่วนของ Wheelchair เช่น ทางลาดชันที่ได้มีพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างกันทั้งโครงการไว้ด้วยกัน

          โครงการลุมพินีวิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่งสเตชั่นนี้ มีเนื้อที่โครงการ 8 ไร่เศษๆ เป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้น 4 ของอาคารประกอบไปด้วยอาคาร A B C และ D ในจำนวนห้องชุดพักอาศัยรวมประมาณ 895 ยูนิต และในห้องชุดร้านค้า 4 ยูนิตขนาดห้องชุด 22.50-33.50 ตร.ม. โดยจะสร้างเสร็จปลายปี 2559 และพร้อมเสิร์ฟความสุขด้วย Total Solutionsซึ่งได้แก่ ร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น และร้านเสริมสวย ร้านอาหาร ร้านซักรีด และพื้นที่สันทนาการ เช่นสระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย และสนามเด็กเล่นและเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้งอีกด้วย






รีวิวคอนโด พฤกษา ได้เปิด พลัม คอนโด เซ็นทรัล สเตชั่น เฟส 2 โดนราคาเริ่มต้นที่ 1.59 ลบ.

คอนโดติดรถไฟฟ้า
บล็อก รีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้าขอขอบคุณภาพจาก ewszociety.com


          โดยเลอศักดิ์ จุลเทศ หรือรองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมเปิดขาย “พลัมคอนโด เซ็นทรัล สเตชั่น เฟส 2” ที่มีทำเลติดเซ็นทรัล เวสต์เกต และใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง คือสถานีสามแยกบางใหญ่ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท หรือก็คือคอนโดติดรถไฟฟ้านั้นเอง หลังจากปิดการขายเฟสแรกมูลค่า 2,300 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 1 เดือนเท่านั้น เนื่องจากมีผู้สนใจจำนวนมาก

          และในสำหรับเฟส 2 ก็ได้เปิดให้ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์จองแล้วตั้งแต่วันนี้ – 20 พฤศจิกายน 2558 และจะทำการเปิดให้จองรอบพิเศษในวันที่ 21-22 พฤศจิกายนนี้ ที่สำนักงานขายโครงการ โดยเฉพาะลูกค้าที่เข้าชมโครงการ และได้ลงทะเบียนรับสิทธิ์จองไว้ภายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 เท่านั้นค่ะ 

          ทั้งนี้ ในเฟส 2 นี้ก็จะเริ่มต้นราคาขายที่ 1.59 ล้านบาท พร้อมทั้งรับสิทธิพิเศษส่วนลด 10,000 บาท ในสำหรับห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน  แต่จะได้รับส่วนลดที่อีก 20,000 บาท สำหรับห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน  และฟรี ! ชุดครัวบิลท์อิน ตู้เสื้อผ้าบิลท์อิน และวอลล์เปเปอร์อีกมากมาย 

         “พลัมคอนโด เซ็นทรัล สเตชั่น เฟส 2” นั้นเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 38 ชั้น บนที่ดินกว่า 3 ไร่ จำนวน 1,013 ยูนิต ที่จะประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ในพื้นที่ใช้สอย 23.5 - 26.25 ตร.ม. และอีกแบบ 2 ห้องชุดรวมกัน (Combined) พื้นที่ใช้สอย 48 ตร.ม. ได้ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์  ชีวิต “ติด” ใจกลาง ติดเซ็นทรัล เวสท์เกต ที่จุดเด่นของโครงการคือมีสิ่งอำนวยความสะดวกถึง  4 โซน 4 คอนเซ็ปต์ ได้แก่ THE GARDEN ที่เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่กว่า 2 ไร่ พร้อมลู่จ๊อกกิ้งและ เลนจักรยาน สนามแบดมินตัน และศาลาพักผ่อน THE LIVING ที่มีล็อบบี้ขนาดใหญ่ 2 โซน และประกอบด้วยล็อบบี้เปิดโล่งสูง 5 เมตร และล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับลูกค้าต่างๆ  THE CLUB พื้นที่ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วยโซนนั่งเล่น และห้องอ่านหนังสือ ในห้องเอนกประสงค์ ในห้องประชุม ห้องดูหนังและเล่นเกมส์ต่างๆ พร้อมโซนสันทนาการ และไฮไลท์ของโครงการอีกคือ THE SKY ในพื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้า ที่ประกอบด้วย สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge Pool และฟิตเนส ห้องโยคะ พื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้แบบลอยฟ้า และสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่แสนสวยด้วยค่ะ

บล็อกรีวิวคอนโดขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก Homebuyers Guide
นิตยสาร The Condominium

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คอนโดติดรถไฟฟ้า กำลังล้นตลาด มีแนวโน้มเข้าสู่วิกฤติใน 3 ปี

คอนโดติดรถไฟฟ้า กำลังล้นตลาด มีแนวโน้มเข้าสู่วิกฤติใน 3 ปี

คอนโดติดรถไฟฟ้า
บล็อก รีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณภาพจาก http://news.mthai.com/

จากการที่สำรวจที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยให้ศูนย์ข้อมูลที่วิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ของบริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือย่อว่า AREA ได้พบว่า ณ เดือนกรกฎาคม 2558 ได้มีโครงการที่อยู่อาศัย เปิด ใหม่ จำนวนถึง 488,026 หน่วย โดยรวมมูลค่ากว่า 1.64 แสนล้านบาท ทั้งนี้ได้เป็นคอนโดมิเนียมมากสุด 51% และรองลงมาเป็น ทาวน์เฮาส์ 23% บ้านเดี่ยว 19% และอื่นๆอีก ได้แก่ บ้านแฝด หรืออาคารพาณิชย์และที่ดินจัดสรร 7% ท่ามกลางสถานการณ์ในตลาดทรงตัวตาม ภาวะเศรษฐกิจนั้นด้วย 

อสังหาฯส่อล้น 

สำหรับในหน่วยเหลือขายมีกันรวมอยู่ที่ประมาณ 1.78 ในแสนหน่วย ซึ่งก็ถือว่ายังไม่อยู่ในขั้นภาวะล้นตลาด และแม้ว่าหน่วยเหลือขาย จะได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ แต่ก็เป็นอัตราการเพิ่มไม่มากเท่าไหร่นัก เนื่องจากในสัดส่วนเหลือขายของบ้านในกรุงเทพฯ จะอยู่ที่ 3.7% ของทั้งหมด หรือจะมีราว 4.8 ล้านหน่วย และเมื่อเทียบกับในภาวะวิกฤติช่วงปี 2540-2542 ที่มีสัดส่วนที่อยู่อาศัยเหลือขาย ในกรุงเทพฯสูงถึง 5%นั้นเอง 

โดยนายโสภณ พรโชคชัย หรือประธานกรรมการบริหาร ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและได้ประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ และคณะกรรมการผู้จัดการ ของบริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กฌกล่าวว่า แม้หน่วยเหลือขายขณะนี้จะยังมีไม่ถึงขั้นวิกฤติ แต่หาก ไม่ได้มีการแก้ไขและยังมีจำนวนสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องในปริมาณมากอย่างนี้ อาจจะมีแนวโน้มสู่วิกฤติได้ภายในระยะ 2-3 ปี ข้างหน้า นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นกังวลในประการถัดมาก็คือ โครงการส่วนใหญ่หรือราว 60% นั้นยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งก็ถือว่ายังมีความเปราะบางในการซื้อที่อยู่อาศัยมาก หากเกิดปัญหาหรือวิกฤติอสังหาฯขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ซื้อ และผู้ประกอบการ และรวมถึงสถาบันการเงินเช่น ในอดีต อีกได้

คาดเปิดใหม่ทั้งปี 1 แสนหน่วย 

โดยทั้งนี้ จากการสำรวจก็ยังพบว่าในช่วงครึ่งปีแรก ได้มีโครงการเปิดตัวใหม่จำนวน 56,548 หน่วย โดยจำนวน 56,388 หน่วย หรือ 99.7% ได้เป็นที่อยู่อาศัย และแบ่งเป็นคอนโดฯ 37,220 หน่วย (หรือ66%) ทาวน์เฮาส์ 12,176 หน่วย (หรือ22%) และบ้านเดี่ยว 4,230 หน่วย หรือ 8% และส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าในกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท และในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ก็ยังพบว่า ที่อยู่ อาศัยระดับราคา 1-5 ล้านบาท ได้ลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า ซึ่งทำให้คาดการณ์ได้ว่าในปี 2558 จะได้มีการเปิดตัวลดลง 16% และเหลือเพียงประมาณ 75,404 หน่วย โดยจากเดิมในปี 2557 ได้มีการเปิดตัวอยู่ที่ 89,729 หน่วย ในส่วนของมูลค่านี้ก็จะลดลงเช่นกัน ประมาณ 10% จากในปี 2557 ที่เปิดตัว 2.22 แสนล้านบาท แต่ในปีนี้ก็คาดว่ามูลค่าจะอยู่ที่ 1.99 แสนล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความสามารถของผู้บริโภคในระดับปานกลาง-ล่าง ซึ่งก็เป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดลดลงมาก สืบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงด้วย 

อย่างไรก็ดี ก็ได้คาดว่าทั้งปี 2558 จะมีโครงการเปิดใหม่ทั้งหมด 107,821 หน่วย หรือลดลงประมาณ 6% จากในปีที่แล้วที่มี 114,094 หน่วย ในขณะที่มูลค่าโครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้นมากถึง 21% จากปี 2557 ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3.45 แสนล้านบาท และเพิ่มเป็น 4.18 แสนล้านบาท เนื่องมาจากว่าสินค้าราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งส่วนมากจะเป็นคอนโดฯมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งในจำนวนหน่วย และในมูลค่าการพัฒนาถึง 25% เพราะว่าเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อ ได้ซื้อไว้เก็งกำไรมากที่สุด โดยส่วนสินค้าราคามากกว่า 5 ล้านบาท โดยเฉพาะ ในราคา 20 ล้านบาท ได้มีการเปิดตัวมากทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯ โดยมีจำนวนถึง 2,166 หน่วย หรือคิดเป็นประมาณ 4 เท่า ในขณะที่มูลค่าสูง ถึง 7.18 หมื่นล้านบาท หรือก็เป็น 5 เท่าของปี 2557 ที่เปิดได้ขาย 449 หน่วย โดยรวมมูลค่า 1.25 หมื่นล้านบาทเลย 

เก็งกำไรคอนโดฯ มีน้อยลง 

จากการที่สำรวจล่าสุด ณ เดือนตุลาคม 2558 ก็พบว่ามีห้องชุดตามแนวรถไฟฟ้าหรือคอนโดติดรถไฟฟ้ามีอยู่ประมาณ 114,959 หน่วยที่แล้วเสร็จใน ระยะเวลาเกิน 3 ปี นี้(และไม่นับรวมห้องชุดที่ก่อสร้างแล้วในเวลาไม่ถึง 6 เดือน เพราะว่าห้องชุดที่เพิ่งเสร็จนั้น ก็ยังต้องรอการเตรียม และตัวและตกแต่งก่อนเข้าอยู่อาศัย)ในจำนวนนี้ก็พบว่า มีผู้เข้าอยู่อาศัยแล้ว 82,356 หน่วย หรือประมาณ 72% ของทั้งหมด ก็ได้แสดงให้เห็นว่า มีการเก็งกำไรน้อย โดยยังมีหน่วยที่ยังว่างอยู่ 32,603 หน่วย หรือประมาณ 28% เท่านั้น เมื่อได้เจาะลึกลงไปในรายละเอียดก็ยังพบว่า ผู้ที่ซื้อ เพื่ออยู่อาศัยเองประมาณ 65,590 หน่วย หรือราว 80% เลย ของหน่วยที่มีผู้เข้าอยู่ทั้งหมด ที่เหลืออีก 16,766 หน่วย ก็เป็นหน่วยที่มีผู้เช่าอยู่ ในการที่มีผู้เช่าอยู่ไม่มากเพียง 1 ใน 5 นั้นถือว่าการเก็งกำไรยังมีไม่มากนักนั้นเอง แม้ในการเช่าคอนโดก็ตามแต่ 

ทั้งนี้ ถ้าหากตั้งสมมติฐานว่า ในกลุ่มที่ยังไม่เข้าอยู่อาศัยโดยส่วนมากอยู่ที่ประมาณ 2 ใน 3 นั้นจะเป็นพวกเก็งกำไรหรือปล่อยให้เช่า ก็อาจจะประมาณการได้ว่ามีเพียง 10,868 หน่วยของ 32,603 หน่วยที่ยังว่างอยู่เท่านั้นที่จะได้ย้ายเข้าอยู่อาศัยเอง ดังนั้นในตัวเลขของผู้ที่ ซื้ออยู่อาศัยเองนั้นจะมี 65,590 หน่วยที่เข้าอยู่บวกกับด้วย 10,868 หน่วยที่ได้คาดว่าผู้ซื้อจะย้ายเข้าอยู่เอง ดังนั้นจึงได้ทำให้คาดการณ์ได้ ว่าจะมีผู้ซื้ออยู่เองอยู่ที่ 76,458 หน่วยหรือคิดเป็น 67% หรือ 2 ใน 3 ของจำนวนหน่วยทั้งหมดก็คือ 114,959 หน่วย ด็แสดงว่าการเก็ง กำไรนั้นเป็นส่วนน้อย ในส่วนใหญ่ของห้องชุดแนวรถไฟฟ้าหรือคอนโดติดรถไฟฟ้า ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ในกรณีนี้ต่างจากบ้านเอื้ออาทรที่ในหลายโครงการ ก็ปรากฏว่าผู้ซื้อเดิมย้ายออกไปครึ่งหนึ่งแล้วด้วยในเรื่องคอนโดการปล่อยเช่าคอนโดก็ได้มีอัตรลดลงเช่นกัน 

ในด้านของอัตราผลตอบแทน ก็พบว่า ราคาเพิ่มขึ้นอยู่ 5.1% ต่อปี ในส่วนอัตราผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้น 5.8% ต่อปี ทั้งนี้ก็คิดจากค่าเช่าคอนโด คูณด้วย 10 เดือน (ให้สมมติให้ค่าเช่าเดือนที่ 11-12 เป็นค่าใช้จ่าย และภาษีและในค่าดำเนินการ) และหารด้วยในราคาตลาด การที่มี ผลตอบแทนทั้งจากราคาเพิ่มนั้นและผลตอบแทนจากการเช่ารวมค่อนข้างสูงนั้นก็คือ 10.8% นั้นแสดงว่าการลงทุนซื้อห้องชุดตามแนว รถไฟฟ้าหรือคอนโดติดรถไฟฟ้าเพื่อปล่อยเช่าคอนโดหรือขายต่อในระยะยาวก็ป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจเลย 


บล็อก รีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณที่มาจาก ฐานเศรษฐกิจ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สภาพโดยรวมอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง

สภาพโดยรวมอสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง

คอนโดติดรถไฟฟ้า


        ในงานเสวนา เรื่อง อสังหาริมทรัพย์ภูมิภาค ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง นั้น ก็เป็นกิจกรรมที่ได้เกิดจากความร่วมมือของบริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด กับธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด มหาชน เพื่อจะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์จากนักวิชาการและของผู้ที่ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น กิจกรรมนี้ได้ดำเนินการมาทุกปีอย่างต่อเนื่องมา และในปีนี้ก็ได้มีการจัดกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ในจังหวัดชลบุรี และในครั้งนี้ก็จัดที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดนครราชสีมานั้นเอง และก็จะจัดครั้งสุดท้ายที่จังหวัดสงขลานั้นเอง
        โดย รศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล หรืออาจารย์ประจำภาควิชาคณะเศรษฐศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในอดีตที่ไปปรึกษานายกรัฐมนตรี ก็พูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทย ปี 2558 จะได้ปรับตัว และขยายตัวแบบอ่อนๆ โดยการส่งออกจะยังไม่ฟื้น ก็น่าจะยังส่งผลต่อเศรษฐกิจจนถึงไตรมาส 1 ของปี 2559 อเมริกา จีน ญี่ปุ่น และยังมีการขยายตัวต่อเนื่องน่าจะเป็นผลดีต่อในประเทศไทย ราคาน้ำมันและในส่วนพลังงานยังอยู่ในระดับ 50-60 ดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นผลดีต่อการส่งออก และหลังจากประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งและเหตุการณ์การเมืองเป็นปกตินั้น เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วแน่นอน ดังนั้นต้องเตรียมตัวให้ดี การเปิด AEC ที่จะเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของในส่วนภาคอีสาน คุณอิสระ บุญยัง หรืออดีตนายกสมาคมบ้านจัดสรร และกรรมการของผู้จัดการ ในกลุ่มบริษัทกานดา ก็บอกถึงแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ โดยอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลาปีที่มีการเปลี่ยนแปลง โดยจะให้เน้นเป็นปีแห่งการตรวจสุขภาพธุรกิจ โดยต้องตรวจสอบดังนี้
1.ยอดขายและสัดส่วนการขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญค่ะ
2.ยอดปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงขึ้นค่ะ
3.รายจ่ายสูงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น เกิดจากเศรษฐกิจ การเมืองหรือจากการบริหารของเราเองค่ะ
        โดยคุณบริสุทธิ์ กาสินพิลา หรือกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ก็บอกถึงจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของผู้บริโภค ก็คือ
1.การใช้เครื่องมือสื่อสารแบบนิวมีเดีย และยังสามารถเจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย วัดผลได้เร็ว ต้นทุนต่ำ แต่ก็ต้องเปลี่ยนวิธีนำเสนอเป็นแบบเล่าให้เพื่อนฟังด้วย
2.ผู้บริโภครับรู้และเรียนรู้อย่างรวดเร็วกว้างขวางค่ะ
3.ผู้บริโภคมีอำนาจมากขึ้น ในการสื่อสารแบบ 2 ทางและเท่าเทียม ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการด้วย
4.การรับมือกับผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ไม่ลบข่าวร้าย จะชี้แจงข้อเท็จจริง ต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วขึ้น
        โดย คุณวิศรุต ปัญญาภิญโญผล หรือผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ของธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ที่ได้มาบอกถึงวิธีการบริหารเงิน และแนวทางความช่วยเหลือในหลักของธนาคารในกรณีที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่ไม่ว่าจะเป็นการยืดระยะเวลาในการผ่อนชำระโดยลูกค้าและไม่ต้องร้องขอ หรือการที่ให้สินเชื่อในการผลิตพรีคาสท์ เพื่อที่จะลดปัญหาให้กับผู้ประกอบการในการก่อสร้าง รวมถึงยังมีการเปิดให้บริการในส่วนของสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายย่อยเพื่อให้ได้บริการแบบครบวงจร
        และที่จังหวัดนครราชสีมา ก็ยังมีอาจารย์กีรติ ศตะสุข หรืออาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มาพูดถึงนวัตกรรมที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม อาทิ  เช่นเฟอร์นิเจอร์ 2 ฟังก์ชั่น, ห้องน้ำสำเร็จรูป, นวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง, และเครื่องฉีด 3 มิติ เป็นต้น
        ก็นับว่าได้รับข้อมูลกันแบบเต็มอิ่ม และงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมอสังหาริมทรัพย์ที่โคราชและชมรมอสังหาริมทรัพย์ขอนแก่นที่ทำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ด้วย
และนอกจากนี้ในเศรษฐกิจด้านอุสาหกรรมต่างๆก็ยังมีผลกระทบไปด้วยซึ่งก็คือด้วย การซื้อขายคอนโดหรือบ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดติดรถไฟฟ้า หรือแม้แต่คอนโดราคาถูก ก็คาดว่าจะมีผลกระทบด้วยเช่นกัน


ต่อมาใน งานเสวนา "อสังหาริมทรัพย์ภูมิภาคท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง" ณ จ.สงขลา
        จังหวัดสงขลาก็เป็นอีกหนึ่งในกิจกรรมที่บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด  และรวมธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ก็ได้ร่วมกันจัดงานเสวนาขึ้น เพื่อที่จะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์โดยจากนักวิชาการและผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วย ก็ได้กล่าวถึงพื้นที่หาดใหญ่ที่ถูกพัฒนาขึ้นในปัจจุบัน และการที่จะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงให้ทันกับสถานการณ์
        โดย ศ.ดร.บัณฑิต  จุลาสัย หรืออดีตคณบดีคณะสถาปัตย์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หาดใหญ่เป็นเมืองที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจากผู้ประกอบการอย่างแท้จริงแห่งแรกของในประเทศไทย ได้มีความเป็นศูนย์กลางที่ครบถ้วนทั้งในเรื่องการศึกษาและ ท่องเที่ยว รวมทั้งการค้าชายแดนที่มีมูลค่าสูงสุดของประเทศไทย และก็ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า การคมนาคมของภาคใต้ ต้องบอกว่าในอนาคตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็จะต้องเติบโตอย่างแน่นอนด้วย
        และคุณอิสระ บุญยัง อดีตนายกสมาคมบ้านจัดสรร และกรรมการผู้จัดการในกลุ่มบริษัทกานดา ในการปรับตัวของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานี้ที่มีการเปลี่ยนแปลง ให้เน้นเป็นปีแห่งการตรวจสุขภาพธุรกิจด้วย
        1.ยอดขายและสัดส่วนการขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย
        2.ยอดปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงขึ้นอีก
        3.รายจ่ายสูงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น เกิดจากเศรษฐกิจ การเมืองหรือจากการบริหารของเราเองด้วย
        โดย คุณบริสุทธิ์ กาสินพิลา หรือกรรมการผู้จัดการ ของบริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ก็ได้บอกจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญของผู้บริโภค นั้นคือ
        1.การใช้เครื่องมือสื่อสารแบบนิวมีเดีย สามารถเจาะตรงกลุ่มเป้าหมาย ที่วัดผลได้เร็ว ต้นทุนต่ำ และเปลี่ยนวิธีนำเสนอเป็นแบบเล่าให้เพื่อนฟังด้วย
        2.ผู้บริโภครับรู้และเรียนรู้อย่างรวดเร็วกว้างขวางมากขึ้น
        3.ผู้บริโภคมีอำนาจมากขึ้นในการสื่อสารแบบสองทางและเท่าเทียม ในทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการด้วย
        4.การรับมือกับผู้บริโภคในยุคใหม่ ที่ไม่ลบข่าวร้าย ชี้แจงข้อเท็จจริง ต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วอีก
        โดย คุณวิศรุต ปัญญาภิญโญผล ผู้อำนายการอาวุโส ฝ่ายการตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน) และวิธีการบริหารเงิน และแนวทางความช่วยเหลือของธนาคารในกรณีที่ได้มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการยืดระยะเวลาในการผ่อนชำระด้วยและ หรือการให้สินเชื่อในการผลิตพรีคาสท์ และรวมถึงการเปิดให้บริการในส่วนของสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรายย่อยเพื่อให้บริการแบบครบวงจรอีก
และนอกจากนี้แล้วในเศรษฐกิจด้านอุสาหกรรมต่างๆก็ยังมีผลกระทบไปด้วยซึ่งก็คือ การซื้อขายคอนโดหรือบ้านต่างๆนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นคอนโดติดรถไฟฟ้า หรือแม้แต่ในคอนโดราคาถูก ก็คาดว่าจะมีผลกระทบด้วยเช่นกันค่ะ


บล็อก รีวิว คอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก home.co.th

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เคหะ ลุยคอนโดติดรถไฟฟ้า 4 แห่งเริ่มต้น6แสน-1ล้าน

เคหะ ลุยคอนโดติดรถไฟฟ้า 4 แห่งเริ่มต้น6แสน-1ล้าน

คอนโดติดรถไฟฟ้า
บล็อก รีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้า เช่าคอนโด ขอขอบคุณภาพจาก thaihomeonline.com


เดินหน้าไฟเขียวแผนลงทุนเคหะฯ โดยสร้างบ้านผู้มีรายได้น้อยทั่วไทย ทั้งการขายขาด และให้เช่าในราคาถูก 1,500-2,500 บาท/เดือน มีทั้งห้องชุด บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ในปีหน้าเปิดมิติใหม่โดยการตะลุยคอนโดฯ 28-32 ตร.ม. ตามแนวรถไฟฟ้า 4 ทำเล เป็นคอนโดรถติดรถไฟฟ้า ประชานิเวศน์ 3-ร่มเกล้า-ลำลูกกา-บางปู โดยเจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือนและข้าราชการ จะเริ่มต้น 6 แสนถึง 1 ล้านบาทเท่านั้น

โดยนายสุภัคร ลดาวัลย์ ณ อยุธยา หรือรอง ผู้ว่าการ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ได้เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ไว้ว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2558 คณะกรรมการในการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือบอร์ดสภาพัฒน์ ได้มีมติอนุมัติกรอบการลงทุนและได้พัฒนาโครงการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยจนถึง ระดับปานกลาง โดยตามแผนลงทุนของ กคช. ในปี 2558-2560 เป็นจำนวน 4 โครงการบนที่ดินเดิม และได้มีสินทรัพย์รอพัฒนา Sunk Cost ที่พร้อมเสนอคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. เพื่อ พิจารณาอนุมัติเป็นโครงการรายโครงการต่อไป

ซึ่งทั้ง 4 โครงการ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผน 10 ปีตามที่นโยบายของรัฐ เพื่อที่ให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งการเคหะฯนั้นพร้อมเปิดขายและก่อสร้างได้ทันที หลังที่ ครม. ได้อนุมัติ โดยแหล่งเงินลงทุนมาจากทั้งหมด 3 ส่วนคือ ส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ส่วนเงินกู้ แลส่วนเงินรายได้ของ กคช. นั้นเอง

โดยใน 4 โครงการ จะประกอบด้วย 

1.โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุดที่ 1 ซึ่งจะเสนอ ครม. ภายในเดือน ธ.ค.นี้ และเริ่มสร้างปี 2559 และแล้วเสร็จปี 2561 โดยมี 43 โครงการทั่วประเทศ จำนวนทั้งหมด 11,559 หน่วย และเงินลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท

โดยแยกเป็นโครงการเคหะชุมชนของผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางจำนวน 30 โครงการ หรือจำนวน 10,167 หน่วย โดยราคาเริ่มต้น 5.5-7 แสนบาท โดยเป็นอาคารชุด 3-5 ชั้น และบ้านแถว 2 ชั้น บ้านเดี่ยว 1-2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น อาทิเช่น เคหะชุมชนบางขุนเทียน มิตรไมตรี หรือบางบ่อ บางปู และนครปฐม ชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี รวมถึงบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ กาฬสินธุ์ พระนครศรีอยุธยา และในเชียงรากน้อย, บางปะอิน,โรจนะนอกจากยี้ก็ ลพบุรี พิษณุโลก ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ ตาก ยังต่ออีกที่สงขลา สุราษฎร์ธานี ตรัง และสระบุรี

โดยส่วนโครงการที่รองรับกลุ่มในระดับกลางขึ้นไป จะขายเริ่มต้น 1 ล้านบาทขึ้นไป โดยมี 13 โครงการ และจำนวน 1,392 หน่วย โดยมีอาคารพาณิชย์ 3-3.5 ชั้น เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น บ้านแถว 2 ชั้น และบ้านเดี่ยว 1-2 ชั้น และทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น อาทิ เช่น เคหะชุมชน จ.สมุทรสาคร (เศรษฐกิจ 2) และสมุทรปราการ กำแพงเพชร บุรีรัมย์ อุบลราชธานี อีกทั้งอุดรธานี ระยอง ภูเก็ต ขอนแก่น และกระบี่

2.โดยโครงการอาคารเช่าและเช่าคอนโดสำหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น มี 32 โครงการทั่วประเทศ จำนวนรวม 10,107 หน่วย โดยมูลค่าลงทุน 5,070 ล้านบาท เช่น ที่ร่มเกล้า ที่บางพลี ที่ปทุมธานี ที่แหลมฉบัง อุบลราชธานี อุดรธานี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา และโรจนะ เป็นต้น โดยเริ่มก่อสร้างปี 2559 แล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งเป็นอาคารชุดขนาด 28-32 ตารางเมตร และกำหนดระยะเวลาเช่าแบบปีต่อปี โดยอัตราค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือนในพื้นที่ต่างจังหวัดจะอยู่ที่ห้องละ 1,500 บาท ในทำเลกรุงเทพฯ 2,000-2,500 บาทต่อห้องค่ะ แต่ในระบบการเช่าคอนโดนั้นอาจจะมีหรือไม่มีจะมาบอกกันอีกที

สภาพัฒน์ได้เห็นชอบแล้ว โดยให้การเคหะฯได้ทบทวนรายละเอียดอีกเล็กน้อย ในเรื่องการคืนทุนให้เร็วขึ้นอีก โดยจากที่เสนอไป 12 ปี ถ้าทุกอย่างเสร็จก็พร้อมจะเสนอ ครม.เพื่ออนุมัติทันที ส่วนในอาคารชุดให้เช่า 6 พื้นที่และเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ตาก มุกดาหาร สระแก้ว และสงขลา ตราด และหนองคายนั้น ยังรอเจรจากรมธนารักษ์เรื่องที่ดินอยู่ในตอนนี้

3.ในโครงการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและในระบบขนส่งทางราง ได้มีแผนลงทุน 12,000 หน่วย ที่มีขนาดพื้นที่ 28-32 ตารางเมตร และเป็นอาคารสูง 8-20 ชั้น ใน 4 ทำเลบนที่ดินเดิมของคณะ กคช. ซึ่งได้แก่ 1.ประชานิเวศน์ 3 พื้นที่ 8 ไร่ บริเวณตรงข้ามโรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ โดยรองรับรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และ2.ลำลูกกา คลอง 2 ติดถนนลำลูกกา บนพื้นที่ 25-28 ไร่ รองรับรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และ3.ร่มเกล้า บนพื้นที่ 1,000 ไร่ โดยใกล้รถไฟฟ้า 2 สายคือ แอร์พอร์ตลิงก์กับสายสีส้ม (หรือศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) และที่ 4.บางปู บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ โดยรับรถไฟฟ้าสายสีเขียว และต่อขยาย (สมุทรปราการ-บางปู) นั้นเอง

คอนโดติดรถไฟฟ้า การเคหะฯจะทำการลงทุนสร้างและขายเอง โดยเป็นกรอบแนวคิดใหม่ โดยจะเร่งออกแบบรองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยโดยเริ่มต้นทำงาน และยังมีรายได้ขนาดปานกลาง มีนิติบุคคลบริหารโครงการโดยตามกฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งก็เป็นโมเดลใหม่ ต่างจากเดิมที่เคยพัฒนา ในราคาขายเริ่มต้น 6 แสนบาทถึง 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งขึ้นอยู่กับทำเล และขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโครงการ โดยจะแล้วเสร็จ ธ.ค.นี้ และจะเปิดขายปลายปีหน้า

และ 4.ในโครงการฟื้นฟูแฟลตดินแดง โดยสภาพัฒน์ก็เห็นด้วยกับแผนแม่บทโครงการ แต่ให้ กคช.ได้ทำรายละเอียดการพัฒนามาให้ชัดเจน ทั้งขนาดพื้นที่และอื่นๆ เพราะยังมีผู้อยู่อาศัยเดิมที่ไม่เห็นด้วยในเรื่องอัตราค่าเช่า 1,000-1,500 บาท/เดือน/ห้อง และทั้งต้องการห้องขนาดใหญ่ขึ้นจาก 33 ตารางเมตร ให้เป็นขนาดกว่า 40 ตารางเมตรนั้นเอง

ทั้งนี้ ตามแผนแม่บทของ กคช.จะใช้เวลาพัฒนารวม 8 ปี เริ่มปี 2559 และจะพัฒนาเป็นอาคารสูง 25 ชั้น และ 35 ชั้น โดยจำนวนรวม 20,292 ยูนิต โดยสร้างขึ้นเพื่อรองรับกลุ่ม ผู้ที่อยู่อาศัยเดิมเป็นลำดับแรก จำนวนทั้งหมด 6,000 ยูนิต ในปี 2559 จะสร้างบริเวณ หัวมุมสามเหลี่ยมดินแดง ในพื้นที่ 2 ไร่ อาคารสูง 25 ชั้น จำนวนรวม 334 ยูนิต โดยรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม จำนวนรวม 5 อาคาร คือ อาคารที่ 18-20 และอาคารที่ 21-22 และผู้อยู่อาศัยใหม่ในบางส่วนนั้นเอง

ในแผนของระยะเร่งด่วน 3 ปีแรก (2559-2561) ก็จะพัฒนาจำนวน 515,268 ครัวเรือน ซึ่งเป็นเงินกว่า 95,596 ล้านบาท และเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย 87,589 หน่วย ก็เป็นอาคารเช่า 10,107 หน่วย โดยฟื้นฟูแฟลตดินแดง 1,581 หน่วย ก็จะวางศิลาฤกษ์เดือน เม.ย. 2559, ในอาคารเช่าเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.ตาก มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราด และหนองคาย 8,000 หน่วย และอาคารเช่าซื้อ 67,901 หน่วย เช่น ในแนวรถไฟฟ้ากรุงเทพฯและปริมณฑล 8,000 หน่วย และในที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยรองรับชุมชนริมคลองอีก 11,044 ครัวเรือน

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นการช่วยเหลือคนมีมีฐานะปลานกลางให้มีบ้านเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ก็ยังเห็นโครงการที่น่าสนใจคือ คอนโดติดรถไฟฟ้า ที่มีถึง 4 โครงการ โดยจะทำการปล่อยขายเป็นหลัก ซึ่งอาจจะมีการเช่าคอนโดกับทางเคหะ เองโดยจะเร่งพัฒนาเพื่อรอรับผู้ที่จะมาอยู่อาศัยโดยจะทำการยื่นเรื่องในไม่นานนี้ โดยอ าจจะมีการเช่าคอนโดอย่างไรหรือปล่อยขายอย่างไรเราจะมาบอกเล่ากันอีกที

บล็อกรีวิวคอนโดติดรถไฟฟ้า เช่าคอนโด ขอขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก ประชาชาติธุรกิจ

คอนโดใกล้รถไฟฟ้า และอสังหากำลังล้นตลาด กว่า 1.78 แสน ยูนิต

คอนโดใกล้รถไฟฟ้า และอสังหาฯ กำลังล้นตลาด กว่า 1.78 แสน ยูนิต 



คอนโดราคาถูก

บล็อก รีวิวคอนโดใลก้รถไฟฟ้า ขอขอบคุณภาพจาก plus.co.th

เอเจนซี่ฯ ได้ระบุว่าบ้านและคอนโดใกล้รถไฟฟ้า และคอนโดทั่วไป นั้นยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ แม้แต่ยูนิตเหลือขาย 1.78 แสนยูนิตก็ตาม เหตุเป็นเพราะอัตราเพิ่มขึ้นไม่มากเกินไป กังวล จะมีแนวโน้มอาจล้นตลาด และหากเติมซัพพลายใหม่เพิ่มอีก ขณะซัพพลายยังสร้างไม่เสร็จมากถึง 60% ก็กลายเป็นความเปราะบางทางธุรกิจอสังหาฯแจงในโครงการประสบปัญหาขายไม่ออกและเลิกร้างถึง 129 โครงการ และยังประสบปัญหาหนักสุด โดยคอนโด กว่า 2 หมื่นยูนิต ในส่วนใหญ่ระดับราคา 1-2 ล้าน และรองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว 5 พันกว่ายูนิต โดยสาเหตุใหญ่แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อนั้นเอง 

โดยนายโสภณ พรโชคชัย หรือประธานกรรมการบริหาร ของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ และยังเป็นกรรมการผู้จัดการ ของบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด ได้เปิดเผยถึงภาพรวมในการสำรวจที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และเขต ปริมณฑล ล่าสุด ณ เดือน ก.ค. 2558ที่ผ่านมา พบว่า ยังมีโครงการที่อยู่อาศัย ที่เปิดใหม่ จำนวน 488,026 แสนยูนิต รวมมูลค่ากว่า 1.64 แสน ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม มากที่สุดถึง 51% รองลงมาก็เป็น ทาวน์เฮ้าส์ 23% และบ้านเดี่ยว 19% และอื่นๆ ได้แก่พวก บ้านแฝด อาคาร พาณิชย์ และที่ดินจัดสรรต่างๆ อีก 7% 

ในขณะที่ ยูนิตเหลือขายรวมอยู่ประมาณ 1.78 แสนยูนิต แต่ก็ยังไม่ถืออยู่ขั้นภาวะ ล้นตลาดมากนัก แม้ว่ายูนิตเหลือขายจะกำลังเพิ่มขึ้น โดยตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ แต่เป็นอัตราการเพิ่มไม่มากเท่าไรนัก 

แม้ตัวเลขเหลือขายขณะนี้ จะยังไม่ถึง ขั้นวิกฤติก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มจะเข้าสู่วิกฤติ ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยคาดว่า คงใช้ระยะเวลา อีก 2-3 ปี ถ้าหากไม่มีการแก้ไขใดๆ หรือมีซัพพลายใหม่เพิ่มเข้ามามากขึ้น 

แต่อย่างไรก็ดี ในโครงการส่วนใหญ่ยังก่อสร้างยังไม่เสร็จถึง 60% ซึ่งก็ถือว่ายังมีความเปราะบางในการที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ถ้าหาก เกิดปัญหาวิกฤติ อสังหาฯขึ้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ซื้อด้วย ผู้ประกอบการ และในสถาบันการเงินอีกด้วย 

คาดว่าทั้งปี 2558 นี้ จะได้มีโครงการเปิดใหม่ทั้งหมดอีก 107,821 ยูนิต โดยลดลงประมาณ 6% จากปีที่แล้ว 114,094 ยูนิต ในขณะที่ มูลค่า ของโครงการเปิดใหม่คาดว่าจะ เพิ่มขึ้นราวๆ 21% จาก ปี 2557 โดยที่เปิดตัว 344,549 ยูนิต และเป็น 418,006 ยูนิต เนื่องจาก สินค้าราคา ไม่เกิน 1 ล้านบาทนั้นเอง 

ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคอนโด ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าดดยการพัฒนาถึง 25% เพราะเป็นสินค้าที่มีผู้ซื้อไว้เก็ง กำไรมากที่สุด และส่วนสินค้าราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป 

โดยเฉพาะราคา 20 ล้านบาทนั้น มีการเปิดตัวมากทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดฯโดยมีจำนวนถึง 2,166 ยูนิต หรือมากเป็น 4 เท่า ในขณะ ที่มีมูลค่าสูงถึง 71,807 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5 เท่า ของ ปีที่แล้วเปิด 449 ยูนิต โดยรวมมูลค่า 12,539 ล้านบาทเท่านั้นเอง 

โดย นายโสภณ กล่าวยังว่า จากการสำรวจ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของศูนย์ฯ ก็ยังพบว่า ในขณะนี้มีได้โครงการที่ หยุดการขาย ที่ประสบปัญหา ในการขายจนต้องเลิกร้างไปถึง 129 โครงการ 

ทั้งนี้ก็ยังมีโครงการที่ยังเปิดขายอยู่ 1,634 โครงการ โดยจำนวนยูนิตที่เลิกร้างไปหรือรอการปรับปรุงใหม่นั้นมี 34,038 ยูนิต รวม มูลค่ากว่า 91,128 ล้านบาท 

สำหรับประเภทของโครงการอสังหาฯ จะหยุดการขายไปในจำนวนดังกล่าว ในกลุ่มใหญ่ที่สุด ซึ่งได้แก่ คอนโด มากถึง 20,067 ยูนิต หรือก็คิดเป็น 59% โดยเฉพาะห้องชุดราคา 1-2 ล้านนั้นที่ตั้งอยู่ย่านชานเมือง ในรองลงมาคือบ้านเดี่ยวที่ได้ประสบปัญหา ก็มีราวๆ 5,673 ยูนิต หรือคิดเป็น17% ส่วนของทาวน์เฮาส์ที่ประสบปัญหามีนั้น 3,624 ยูนิต หรือคิดเป็น 11% เท่านั้นเอง และส่วนหากเป็นทาวน์เฮาส์ ก็ราคา 1-2 ล้านบาท โดยกลุ่มอื่น ๆ เช่น บ้านแฝด อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่าจัดสรรด้วย มีเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น 

ในการผลิตที่อยู่อาศัย ในแบบบ้านเดี่ยวมักเกิดขึ้นมากเป็นอันดับ 3 แต่ในกรณีการหยุดการขาย บ้านเดี่ยวกลับได้มาเป็นอันดับ 2 กรณีนี้ได้แสดงให้เห็นว่า บ้านเดี่ยวที่มักจะขายได้ช้านั้นก็มีปัญหาอยู่พอสมควร และในที่ดินจัดสรรที่สถาบันการเงินมักไม่อำนวย สินเชื่อ นั้นเพราะหลักประกันต่ำด้วยไม่มีบ้านอยู่ด้วย และก็มักจะขายไม่ออก จนกระทั่งประสบปัญหาไปในที่สุดนั้นเอง 

หากพิจารณาจากแนวโน้มจะพบว่า ณ สิ้นปี 2557 ได้มีโครงการที่ประสบปัญหาจำนวน 122 โครงการประมาณ 34,519 ยูนิต โดยมูลค่า 81,704 ล้านบาท แต่ ณ กลางปี 2558 ได้มีจำนวนเพิ่มเป็น 129 โครงการหรือประมาณ 34,038 หน่วย มูลค่ากว่า 91,128 ล้านบาท สรุปว่า จำนวนของโครงการเพิ่ม 7 โครงการ โดยคิดเป็น 9% ยูนิตขายลดลงถึง 481 หน่วย คือติดลบ1% แต่มูลค่าได้เพิ่มขึ้น 9,424 ล้านบาท หรือประมาณ 12% ที่เป็นเช่นนี้ได้นั้นก็แสดงให้เห็นว่า ยูนิตขายที่มีราคาสูงขึ้นก็จะประสบปัญหาในการขายเช่นกัน ดังนั้นในสถานการณ์ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก 

ในสำหรับสาเหตุของการล้มเลิกโครงการจนหยุดขายนั้น จะประกอบด้วย สถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อต่างๆ จำนวน 37 โครงการ โดยคิดเป็น 29%, และขายไม่ออก ไม่มีคนซื้อ หรือรูปแบบสินค้า ไม่เหมาะสม อีกจำนวน 23 โครงการ โดยคิดเป็น 18%, และไม่ผ่านการประเมิน สิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) อีกจำนวน 29โครงการ หรือคิดเป็น 22% , และรอปรับราคาขายใหม่อีกจำนวน 8โครงการ และคิดเป็น 6%, มีการเปลี่ยนรูปแบบโครงการ อีกจำนวน 10 โครงการ และคิดเป็น12%, อยู่ในทำเลที่ตั้งห่างไกลสิ่งอำนวยความสะดวก อีกจำนวน 15 โครงการ โดยคิดเป็น 12%, กรรมสิทธิ์ ของที่ดินและทางเข้าออกโดนเวนคืนอีกจำนวน 3 โครงการ โดยคิดเป็น 2%, ยกเลิกการขายที่เหลือนำมาปล่อยเช่าอีก จำนวน 2 โครงการ และคิดเป็น 2% และขาดผู้ที่รับเหมาและแรงงานก่อสร้าง อีกจำนวน 2 โครงการ และคิดเป็น 2% 

โดยคอนโดราคาถูก ก็มีแนวโน้มที่จะล้นตลาดมาก เพราะช่วงปลายปีได้มีโครงการคอนโดที่มาราคาที่ถูก หรือคอนโดราคาถูก กันออกมามาพอสมควร โดยหลังการซื้อได้ลลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำให้จะเกิดสภาวะล้นตลาดขึ้นได้

บล็อกรีวิว คอนโดใลก้รถไฟฟ้า ขอขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก กรุงเทพธุรกิจ